ปิด

ส่งออกไทยปี 67 โต 5.4% ทะลุ 3 แสนล้านดอลลาร์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ในปี 2567 การส่งออกของไทยสร้างสถิติใหม่ด้วยมูลค่ารวม 300,529.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 5.4% จากปีก่อนหน้า นับเป็นการเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ความต้องการสินค้าจากประเทศคู่ค้าและการปรับตัวของภาคการผลิตไทยที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โครงสร้างการส่งออกภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก
ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในการขับเคลื่อนการส่งออกของไทย โดยมีมูลค่ารวม 52,185.0 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 6.0% จากปีก่อนหน้า สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและผลไม้แห้ง ข้าว ยางพารา ไก่และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง โดยตลาดส่งออกหลักคือ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซียและอินโดนีเซีย​

การส่งออกสินค้าภาคอุตสาหกรรมเติบโตอย่างต่อเนื่อง
การส่งออกสินค้าภาคอุตสาหกรรมของไทยในปี 2567 ขยายตัว 5.9% โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ โดยการส่งออกไปยังตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และกลุ่มประเทศ CLMV มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

แนวโน้มในปี 2568การเติบโตที่ชะลอตัว
กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่า การส่งออกของไทยในปี 2568 จะขยายตัวในอัตรา 2–3% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงในระดับปัจจุบัน การย้ายฐานการผลิต นิคมอุตสาหกรรม มายังกลุ่มประเทศอาเซียน รวมถึงไทยมากขึ้น และการส่งเสริมการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยเชื่อมโยงเข้ากับสินค้าส่งออกเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้เป็นที่จดจำในระดับโลก อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยท้าทายจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อและความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำแพงภาษีที่คาดว่าประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย การเพิ่มมูลค่าและความยั่งยืน
เพื่อรักษาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทย ควรเน้นการส่งเสริมสินค้าเกษตรมูลค่าสูงและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร เช่น อาหารแปรรูปมูลค่าสูง สินค้าเกษตรอัตลักษณ์และสินค้าเกษตรสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (สินค้า GI) นอกจากนี้ ควรพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในการผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและสร้างความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน​

โดยสรุป การส่งออกของไทยในปี 2567 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่การรักษาและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในอนาคต จำเป็นที่จะต้องมีการปรับตัวและพัฒนานโยบายที่เหมาะสมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะพื้นที่ที่เหมาะกับการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ที่มุ่งเน้น การผลิตสินค้าและบริการโดยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ควบคู่ไปกับการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ สวนอุตสาหกรรม 304 ที่สนับสนุนและพร้อมจำหน่ายพลังงานหมุนเวียนแบบผสมผสานระหว่างพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีกำลังการผลิตรวม 157MW และพลังงานชีวมวล ที่ผลิตไฟฟ้าจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรโดยมีกำลังผลิตรวม 398 MW โดยมั่นใจได้ว่าเราสามารถส่งมอบพลังงานสะอาดไปยังลูกค้าได้อย่างเพียงพอและเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม

ที่มาของข้อมูล
  • https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1165168
  • https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1163354
  • https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/92752?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR1TIJLUq4kq6w3OIu3chtW1XAY-fLBPUemVXN3Ov3-igazo-OHlpYu6150_aem_mUAGLmdzKZFMJdfOLzfAAQ
  • https://tpso.go.th/news/2502-0000000023