ปัจจุบันโลกกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และมีหลาย ๆ สิ่ง ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและธุรกิจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศไทยแม้ครั้งหนึ่งจะเคยขึ้นชื่อว่าเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย แต่ปัจจุบันกลับไม่เหลือเค้าลางของความเป็นเสือเลยแม้แต่น้อย ในช่วง2-3 ปีที่ผ่านมากลับมีแต่ข่าวหลายโรงงานย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย ในขณะเดียวกันก็มีรายงานจาก BOI ว่ายังคงมีเม็ดเงินหลายแสนล้านที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วยเหมือนกัน นั่นแสดงว่าประเทศไทยยังมีเสน่ห์ให้นักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุน โดยในวันนี้จะพาไปเจาะลึกกับ 4 ธุรกิจ ที่น่าลงทุนมากที่สุดในประเทศไทย
1. ชิ้นส่วนยานยนต์
จากสถิติกรมการขนส่งทางบกตลอดปี 2563 มีรถใหม่ป้ายแดงที่ขอรับจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 2,638,466 คัน ในขณะที่รถภายในประเทศมีสะสมทั้งสิ้น 41 ล้านคัน นั่นหมายความว่าในประเทศไทยมีรถใช้น้ำมันเกือบ 100% ซึ่งค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่หลายค่ายต่างเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นและลดการผลิตรถยนต์ใช้น้ำมัน นั่นเท่ากับว่าในอนาคตประเทศไทยอาจจะต้องปรับเปลี่ยนไปใช้รถที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากยิ่งขึ้นและเร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะประเทศญี่ปุ่นได้มีการสั่งห้ามจำหน่ายรถยนต์ใช้น้ำมันภายในปี 2030 นี้ รวมไปถึงประเทศในแถบยุโรปอย่างอังกฤษ, ฝรั่งเศษและสหรัฐอเมริกาต่างออกมาประกาศยกเลิกการขายรถที่ใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมันอีกด้วย นั่นเท่ากับว่าประเทศไทยหากต้องการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกจะต้องหันมาผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแทน
2. เทคโนโลยีและดิจิทัล
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แผงวงจรไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ ให้กับบริษัทยักษ์ด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Know How ที่ได้รับการถ่ายทอดและเทคโนโลยีการผลิตชั้นสูงจากบริษัทแม่ทำให้การส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นระบบเน็ตเวิร์ค, การเชื่อมต่อ, AI, สายเคเบิ้ลต่าง ๆ รวมไปถึงระบบไร้สายที่ให้ความสามารถไม่แพ้ระบบสายและกำลังจะเข้ามาแทนที่ในอนาคตในไม่ช้านี้ ธุรกิจออนไลน์ที่กำลังได้รับความสนใจต่างต้องใช้อุปกรณ์และความปลอดภัยที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น หลายสิ่งในประเทศยังคงต้องมีการปรับเปลี่ยนกันอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาแอปพิลเคชัน, ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ เพื่อรองรับระบบเงินดิจิตอลที่คาดว่าจะมีปริมาณการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากแอปพลิเคชันเป๋าตังของภาครัฐที่มีคนใช้งานเกือบค่อนประเทศ ซึ่งจากข้อมูลของ BOI ล่าสุดปี 2563 ธุรกิจที่เข้ารับการจดทะเบียนและลงทุนมากเป็นอันดับ 1 คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีมูลค่ามากถึง 50,000 ล้านบาท
3. อุตสาหกรรมทางการแพทย์
เป็นน้องใหม่ของวงการที่กำลังจะมีส่วนผลักดันให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของภูมิภาคอาเซียนด้วยงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ซึ่งเร็ว ๆ นี้กำลังจะได้รับการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด-19 จากบริษัทยาชั้นนำของโลกอีกด้วย นั่นเท่ากับว่าประเทศไทยได้รับการยอมรับในเรื่องของห้องแลป, โรงงาน, วัสดุและอุปกรณ์การผลิต, เครื่องจักร ที่ได้มาตรฐานสากลที่ใช้ในการผลิตวัคซีนทั่วโลก การผลิตชิ้นส่วนเครื่องมือแพทย์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลรวมไปถึงโอกาสในการเรียนรู้ของโรคอุบัติใหม่ก่อนใคร ในขณะที่ต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่า จึงไม่แปลกใจว่าทำไมในอนาคตไทยจะเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในภูมิภาคนี้ได้ นอกจากนี้ในส่วนของการรักษาทางการแพทย์ไทยเองยังได้ยอมรับการยอมรับจากนานาชาติว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุด ดังจะเห็นได้จากการควบคุมและดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่ผ่านมา จากข้อมูล BOI มีการขอรับการส่งเสริมและลงทุนมากถึง 83 โครงการ มูลค่าลงทุนรวม 22,290 ล้านบาท เพิ่มมากกว่าปี 2562 ถึงร้อยละ 165
4. อุตสาหกรรมสำหรับผู้สูงอายุ
คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ ดังจะเห็นได้จากสถิติประชากรไทย ล่าสุดเมื่อปี 2562 ช่วงอายุของประชากร 55-64 ปี มี 8.9 ล้านคน อายุ 65 ปีขึ้นไป มี 8.1ล้านคน นั่นเท่ากับว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ประชากรอายุ 65-75 ปี จะมีจำนวนประมาณ 17 ล้านคน จึงเป็นโอกาสให้กับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมสำหรับผู้สูงอายุ ดังจะเห็นได้จากการแข่งขันตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ที่มีปริมาณการใช้งานมากขึ้นในทุก ๆ ปี ยังไม่นับรวมถึงธุรกิจการบริการดูแลผู้สูงอายุและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องที่คาดว่าจะเติบโตได้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเวชภัณฑ์ในการดูแลผู้สูงอายุ, อาหาร, อุปกรณ์ช่วยเดิน, รถเข็น, อุปกรณ์ช่วยเหลือตนเองในบ้านและห้องน้ำและอื่น ๆ ซึ่งตลาดยังเปิดกว้างให้กับนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสนี้อยู่
ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ภายในประเทศรวมถึงตลาดในประเทศไทยยังเกิดกว้างให้กับนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการทำธุรกิจ แม้ว่าเศรษฐกิจในภาครวมจะไม่สดใส ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถค้นหาโอกาสนี้ได้ก่อนกัน โดยเฉพาะการเริ่มธุรกิจจากสิ่งที่มีอยู่โดยไม่ต้องนับหนึ่ง ด้วยการเช่าโรงงานสำเร็จรูปหรือคลังสินค้า เพื่อการผลิตและกระจายสินค้าให้ทันตามความต้องการของตลาด เพื่อลดต้นทุนในเรื่องของการก่อสร้างอาคาร โรงงานและสถานที่ใหม่ ก็จะช่วยให้คนทำธุรกิจสามารถดำเนินกิจการได้ทันท่วงทีและรวดเร็ว เพราะในธุรกิจสมัยใหม่ใครที่คิดได้ก่อน ปรับตัวได้ไวและทำทันที จะมีโอกาสและได้เปรียบกว่าคู่แข่ง หากมัวแต่ไปเริ่มก่อสร้างโรงงานกว่าจะแล้วเสร็จเทรนในธุรกิจอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้
ที่มาข้อมูล