อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า Visa เป็นเอกสารที่ประเทศต่าง ๆ ออกให้กับบุคคลเพื่อให้เข้าประเทศผู้ออก Visa ภายในเวลาและจุดประสงค์ที่ยื่นคำร้องขอมีวีซ่า ทำให้ปัจจุบันมี Visa หลากหลายประเภท อย่างไรก็ตามเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับชาวต่างประเทศที่ต้องการเข้ามาทำธุรกิจประเทศไทย ในปี 2565 รัฐบาลได้ออก LTR Visa หรือ Long-Term Resident Visa เอกสาร Visa ให้กับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงในระยะยาว เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่มีเติบโตด้าน นิคมอุตสาหกรรม และศูนย์กลางการเข้ามาอาศัยของชาวต่างชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ชาวต่างชาติกลุ่มนี้เข้ามาลงทุนธุรกิจและสร้างความเติบโตทางเทคโนโลยีมากขึ้น
สิทธิประโยชน์ของ LTR visa
สำหรับสิทธิประโยชน์เมื่อชาวต่างชาติได้รับ LTR Visa จะมีทั้งการรับสิทธิ์ได้อยู่ประเทศไทยนานขึ้น สิทธิ์ด้านภาษี สิทธิ์ด้านการทำงาน และความสะดวกสบายที่มากกว่า Visa ปกติ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- ได้รับสิทธิการอยู่อาศัยในประเทศไทยนาน 10 ปี โดยยื่นครั้งแรกได้ 5 ปี หากมีคุณสมบัติตามกำหนดสามารถยื่นขอขยายเพิ่มอีก 5 ปี โดยเสียค่าธรรมเนียม 50,000 บาท ครั้งเดียว
- ขยายวันรายงานเป็น 1 ปี และยกเว้นการขอใบอนุญาตการเข้าประเทศใหม่
- ชาวต่างชาติที่ได้รับ LTR Visa สามารถมีผู้ติดตามได้ 4 คน แต่ต้องเป็นคู่สมรสตามกฎหมายและบุตรที่อายุไม่เกิน 20 ปี
- ได้รับอนุญาตทำงานแบบดิจิทัล (Digital Work permit) แต่ถ้าเป็นผู้ประกอบการที่มาลงทุนในประเทศไทยจะได้รับการสิทธิชาวต่างชาติ 1 คน ต่อการจ้างคนไทย 4 คน
- ได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีจากรายได้จากนอกประเทศไทย ส่วนชาวต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษหรือ Highly – skilled professional จะกำหนดภาษีที่ 17% ต่อปีเท่านั้น
- ได้รับสิทธิ์เข้าใช้บริการ Fast-track ที่สนามบินท่าอากาศยานนานาชาติในประเทศไทย และบริการ One Stop Service Center for Visa and Work Permit ในการตรวจใบอนุญาตทำงานที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ทำให้การดำเนินการรวดเร็วขึ้น
- ได้รับใบอนุญาตเดินทางกับการเข้าประเทศไทยได้หลายครั้งหรือ Multiple Re-entry Permit
- มีโอกาสเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ใน สวนอุตสาหกรรม หรือ นิคมอุตสาหกรรม ตามนโยบายสนับสนุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
คุณสมบัติของผู้ที่สามารถยื่นของ LTR visa
จากนโยบายของ LTR Visa ที่มีจุดประสงค์เพื่อดึงชาวต่างชาติที่มีศักยภาพด้านการลงทุน มีรายได้สูง และมีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านเทคโนโลยีหรืออุตสาหกรรม สามารถแบ่งกลุ่มชาวต่างชาติที่สามารถขอ LTR visa ได้เป็น 4 กลุ่ม โดยมีเงื่อนไขว่าทุกกลุ่มต้องมีประกันสุขภาพมากกว่า 50,000 เหรียญสหรัฐ หรือสวัสดิการประกันสังคมในไทย หรือเงินฝากในไทยมากกว่า 100,000 เหรียญสหรัฐ ส่วนเงื่อนไขอื่น ๆ แตกต่างกันมีดังต่อไปนี้
- กลุ่มประชากรโลกที่มีความมั่งคั่งสูง (Wealthy Global Citizens) มีทรัพย์สินรวมมากกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ รายได้ส่วนบุคคลมากกว่า 80,000 เหรียญสหรัฐต่อปี และต้องลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรืออสังหาริมทรัพย์ในไทยมากกว่า 500,000 เหรียญสหรัฐ
- กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (Wealthy Pensioners) มีรายได้ส่วนบุคคลมากกว่า 80,000 เหรียญสหรัฐต่อปี แต่ถ้ามีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนดต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 40,000 เหรียญสหรัฐต่อปี และมีเงินลงทุนมากกว่าลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรืออสังหาริมทรัพย์ในไทยมากกว่า 250,000 เหรียญสหรัฐ
- กลุ่มชาวต่างชาติที่ต้องการทำงานในประเทศไทย (Work-From-Thailand) มีรายได้ส่วนบุคคลมากกว่า 80,000 เหรียญสหรัฐต่อปี มีประสบการณ์ทำงานในสายงานที่กำหนดมากกว่า 5 ปี และต้องเข้ามาทำงานในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือบริษัทที่มีรายได้ในช่วง 3 ปี มากกว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป แต่ถ้ามีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนดต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 40,000 เหรียญสหรัฐต่อปี และวุฒิปริญญาโทขึ้นไป เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา หรือการลงทุนในระดับ Series A
- กลุ่มชาวต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษ (Highly skilled professionals) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมที่เข้ามาทำงานในหน่วยงานของรัฐ สถาบันอุดมศึกษา ศูนย์วิจัย สถาบันฝึกอบรม และบริษัทเอกชนที่ตรงกับความเชี่ยวชาญ มีรายได้ส่วนบุคคลมากกว่า 80,000 เหรียญสหรัฐต่อปี ยกเว้นผู้ที่เข้าทำงานกับภาครัฐไม่มีข้อกำหนดรายได้ ต้องมีประสบการณ์ทำงานมากกว่า 5 ปี ยกเว้นมีปริญญาเอกสาขาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมหรือเข้าทำงานกับภาครัฐ แต่ถ้ามีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนดต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 40,000 เหรียญสหรัฐต่อปี และวุฒิปริญญาโทสาขาวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีขึ้นไป
สรุป LTR Visa ออกแบบขึ้นเพื่อดึงดูดกลุ่มนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญที่มีศักยภาพเข้ามาในประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายสำคัญคือ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มการขยายตัวนิคมหรือ สวนอุตสาหกรรม และสร้างงานให้กับคนไทยมากขึ้นในอนาคต